หลักการของเครื่องพิมพ์ 3 มิติ นั้น เป็นการผสมผสานความรู้ความเชี่ยวชาญทั้งด้านการแพทย์ ด้านวิทยาศาสตร์ และด้านวิศวกรรมเข้าด้วยกัน ซึ่งเมื่อเปรียบกับแม่พิมพ์โดยปกติแล้ว ถือว่าทำได้ง่ายกว่า ต้นทุนต่ำกว่า และยังผลิตอุปกรณ์ที่มีรูปร่างเฉพาะบุคคลได้อีกด้วย
จุดเริ่มต้นของการใช้ 3D Printing ทางด้านการแพทย์
เกิดจากนายแพทย์วิลเลียม คลิฟตัน (William Clifton) แพทย์เฉพาะทางด้านประสาทวิทยาจากคลินิกมาโย (Mayo Clinic) โรงพยาบาลชื่อดังในสหรัฐอเมริกา ที่ต้องการพิมพ์ร่างกายและอวัยวะเทียมของมนุษย์เสมือนจริงขึ้น เพื่อให้แพทย์เฉพาะทางได้ฝึกผ่าตัด ซึ่งในที่สุดเขาก็ทำได้สำเร็จ และถือเป็นการปฏิวัติวงการแพทย์เป็นอย่างมาก
5 ประโยชน์ของ 3D Printing 3D Printing ทางด้านการแพทย์
- ช่วยแพทย์ในการวางแผนการรักษาและออกแบบการรักษาได้ดียิ่งขึ้น
- ช่วยลดระยะเวลาในการผ่าตัด
- ช่วยลดค่าใช้จ่ายในการนำเข้าเครื่องมือแพทย์/ ลดค่าใช้จ่ายในการรักษา
- ช่วยสร้างอวัยวะทดแทน/ ช่วยสร้างอุปกรณ์ในการรักษา
- และช่วยลดชั่วโมงการทำงานของบุคลากรทางการแพทย์
ทั้งนี้ล่าสุดมีความก้าวล้ำมากขึ้นไปอีก เมื่อ Merck ได้ผลิตเทคโนโลยีที่มีชื่อว่า ‘3D Bioprinting’ ขึ้น โดยใช้ร่วมกับหมึกพิมพ์ Bioink เพื่อให้เซลล์ที่พิมพ์ออกมามีความใกล้เคียงรูปร่างและสภาวะของเซลล์สิ่งมีชีวิตมากที่สุด โดยเทคโนโลยีนี้ช่วยให้เห็นภาพเนื้อเยื่อแบบ 3 มิติ หรือภาพความซับซ้อนของเนื้อเยื่อได้ชัดเจนมากยิ่งขึ้น
อีกทั้งเทคโนโลยีนี้ยังมีประโยชน์มากมายต่องานวิจัยต่าง ๆ เช่น งานวิจัยทางการแพทย์ที่มีการทดสอบเครื่องสำอาง หรืองานวิจัยที่เกี่ยวกับยาที่ออกฤทธิ์ต่ออวัยวะนั้น ๆ ได้อีกด้วย